วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เจ้าหญิงเคท ตั้งพระนามพระโอรส เจ้าชายจอร์จแห่งเคมบริดจ์


เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแคทเธอรีน ทรงตั้งพระนามให้พระโอรสองค์น้อยแล้ว "จอร์จ อเล็กซานเดอร์ หลุยส์" หรือเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า เจ้าชายจอร์จแห่งเคมบริดจ์
สำนักพระราชวังเคนซิงตัน แถลงการณ์ประกาศแจ้งอย่างเป็นทางการ เรื่องพระนามของพระโอรส รัชทายาทพระองค์ใหม่แห่งราชวงศ์อังกฤษ โดยระบุว่า เจ้าชายวิลเลียม และ เจ้าหญิงแคทเธอรีน ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ทรงตัดสินพระทัยตั้งพระนามให้พระโอรสที่เพิ่งถือประสูติกาลได้ 2 วัน ว่า "จอร์จ อเล็กซานเดอร์ หลุยส์" หรือ "เจ้าชายจอร์จแห่งเคมบริดจ์" (Prince George Alexander Louis)
ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่า ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ทรงตั้งพระนามพระโอรสตามพระนามของกษัตริย์อังกฤษ ซึ่งในอดีตมีกษัตริย์อังกฤษทรงพระนามว่า จอร์จ ทั้งสิ้น 6 พระองค์ สำหรับการตัดสินพระทัยตั้งพระนามพระโอรสครั้งนี้ ทรงใช้เวลาเพียง 2 วัน หลังจากพระโอรสประสูติ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยในอดีต เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ กับเจ้าหญิงไดอานา ทรงใช้เวลาราว 1 สัปดาห์ ในการตั้งพระนามเจ้าชายวิลเลียม ขณะที่ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงใช้เวลาราว 1 เดือน ในการตั้งพระนามเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์

ทักษะการเรียนภาษา ฝรั่งเศส


เรียนภาษาฝรั่งเศสในต่างประเทศกับ EF

สำหรับคนที่สนใจจะเรียนภาษาฝรั่งเศส ไม่มีวิธีใดที่จะมีประสิทธิภาพไปกว่าการเดินทางไปเรียนภาษาฝรั่งเศสในต่างประเทศกับเจ้าของภาษาในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่จะเปิดโอกาสให้คุณดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วยการสื่อสารภาษาฝรั่งเศสกับผู้คนรอบๆ ตัวคุณ ไม่ว่าจะในหรือนอกห้องเรียน การฝึกฝนที่ต่อเนื่องนี้จะทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสของคุณพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนตัวคุณเองยังต้องแปลกใจ
ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของประชากรกว่า 350 ล้านคนทั่วโลกในจุดหมายปลายทางต่างๆ ถึง 54 ประเทศด้วยกัน นอกจากนี้ ภาษาฝรั่งเศสยังเป็นภาษาที่สองที่ใช้เป็นภาษาราชการในองค์กรระหว่างประเทศอย่าง United Nations หรือ International Olympic Committee ด้วย

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันงดสูบบุหรี่โลก


         

          ทุกคนก็คงจะรู้ถึงโทษของการสูบบุหรี่กันอยู่แล้วว่า มันส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราอย่างไร แต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะสูบมัน บางคนเลือกที่จะสูบบุหรี่เพียงเพราะความเท่ห์จนในที่สุดก็ติดเป็นนิสัย และเนื่องในวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปีนั้น เป็น วันงดสูบบุหรี่โลก และ วันงดสูบบุหรี่โลก 2556 ใกล้มาถึงแล้ว แถมตอนนี้ก็ได้มี คําขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2556 ออกมาแล้วเช่นกัน และเพื่อให้ทุก ๆ คนได้เข้าใจถึงความเป็นมาของ วันงดสูบบุหรี่โลก กระปุกดอทคอม จึงมีบทความเกี่ยวกับ วันงดสูบบุหรี่โลก มาฝาก และลองใช้วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการเลิกบุหรี่กันดีไหม? 

          วันงดสูบบุหรี่โลก เริ่มมีการจัดงานครั้งแรกในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2531 เนื่องจากองค์การอนามัยโลกเล็งเห็นอันตรายของบุหรี่และสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่ไม่สูบแต่ต้องมารับควันบุหรี่ด้วย จึงจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า World No Tobacco Day เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่สูบบุหรี่อยู่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม อีกทั้งยังได้ประกาศให้มีการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ที่ใช้ชื่อว่า World Spidemic ซึ่งสื่อถึงการสูบบุหรี่ที่เป็นเหมือนโรคระบาดที่ระบาดอยู่ทั่วโลก โดยในวันงดสูบบุหรี่โลกในแต่ละปี ก็จะมีคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลกที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้ 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2531 คือ บุหรี่หรือสุขภาพ ต้องเลือกสุขภาพ (Between tobacco and the health, choose health)  

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2532 คือ พิษของบุหรี่ต่อสตรี  ยิ่งมีมากกว่าบุรุษ (Women and Tobacco: Added risk) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2533 คือ เติบโตอย่างสดใส  ห่างไกลจากภัยบุหรี่ (Growing up without tobacco)

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2534 คือ สถานที่สาธารณะและยวดยานปลอดบุหรี่ (Public places and transport:  Better be tobacco free) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2535 คือ ที่ทำงานปลอดบุหรี่ สุขภาพดี  ชีวีปลอดภัย (Tobacco free work places: Safer and healthier) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2536 คือ บุคลากรสาธารณสุขร่วมสร้างสรรค์สังคมปลอดบุหรี่ (Health services, our window to a tobacco – free world) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2537 คือ ทุกสื่อร่วมใจต้านภัยบุหรี่ (The media against tobacco) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2538 คือ บุหรี่ก่อความสูญเสียมากกว่าที่คุณคิด (Tobacco costs more than you think) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2539 คือ ศิลปะและกีฬาไม่พึ่งพาบุหรี่ (Sport and the arts: play it tobacco free)

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2540 คือ ผนึกกำลังเพื่อสังคมปลอดบุหรี่ (United for a Tobacco – free world) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2541 คือ คนรุ่นใหม่ไม่สูบบุหรี่ (Growing up without tobacco) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2542 คือ อนาคตมีคุณค่า เมื่อบอกลา...เลิกบุหรี่ (Leave the pack behind) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2543 คือ บุหรี่คร่าชีวิต  อย่าหลงผิดตกเป็นเหยื่อ (Tobacco kills don’t be Duped) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2544 คือ เห็นใจคนรอบข้าง  ร่วมสร้างอากาศสดใส  ปลอดจากภัยควันบุหรี่ (Second-Hand Smoke: Let’s Clear the Air) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2545 คือ กีฬาปลอดบุหรี่  ส่งผลดีต่อสุขภาพ (Tobacco Free Sports – Play it clean) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2546 คือ ภาพยนตร์ปลอดบุหรี่  ส่งผลดีต่อเยาวชน (Tobacco free films tobacco free fashion) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2547 คือ บุหรี่ : ยิ่งสูบ...ยิ่งจน (ครอบครัวปลอดบุหรี่ จะมั่งมีและแข็งแรง) (Tobacco and Poverty (A Vicious Circle))  

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2548 คือ ทีมสุขภาพร่วมใจ ขจัดภัยบุหรี่ (Health Professionals and Tobacco Control) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2549 คือ บุหรี่ทุชนิดนำชีวิตสู่ความตาย (Tobacco: Deadly in any form or disguise) 

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2550 คือ ไร้ควันบุหรี่  สิ่งแวดล้อมดี  ชีวีสดใส (100% Smoke-Free Environments: Create and Enjoy)   

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2551 คือ เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่ (Tobacco - free Youth)  

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2552 คือ บุหรี่มีพิษ ร่วมคิดเตือนภัย (Tobacco Health Warnings)

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2553 คือ หญิงไทยฉลาด ไม่เป็นทาสตลาดบุหรี่ (Genderand Tobacco Withan Emphasis on Marketing to women)

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2554 คือ พิทักษ์สิทธิตามกฏหมาย  มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่ (The WHO Framework Convention on Tobacco Control)

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2555 คือ จับตา เฝ้าระวัง ยับยั้งอุตสาหกรรมยาสูบ  (Tobacco Industry Interference)

           คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2556 คือ ไม่ใช้ ไม่รับ ไม่สนับสนุนโฆษณายาสูบร้าย ทำลายชีวิต (Ban tobacco advertising, promotion and sponsorship)



วันงดสูบบุหรี่โลก
วันงดสูบบุหรี่โลก 2556

          อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยก็ได้ตระหนักถึงความสูญเสีย ทางด้านชีวิตของประชากรที่เกิดจากการสูบบุหรี่  จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ รวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆ โดยการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะพยายามให้เกิดการเลิกสูบบุหรี่ ดังเช่นที่กระทรวงได้ประกาศบังคับใช้มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 ให้มีการพิมพ์คำเตือน และโทษของการสูบบุหรี่ที่ข้างซอง ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 มีนาคม พ.ศ.2548 เป็นต้นมา อีกทั้งยังมีกฏหมายที่ใช้คุ้มครองสุขภาพประชาชน ได้แก่  

          1.     พระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ที่มีสาระสำคัญในการประกาศเขตปลอดบุหรี่ ซึ่งแบ่งเขตปลอดบุหรี่ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ  

          - เขตปลอดบุหรี่อย่างแท้จริง เช่น รถยนต์โดยสารประจำทาง ทั้งแบบปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ รวมถึงแท็กซี่ ตู้รถไฟปรับอากาศ และห้องชมมหรสพ 

          - เขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด เช่น โรงเรียน ห้องสมุด แต่ยกเว้นห้องส่วนตัว 

          - เขตปลอดบุหรี่เกือบทั้งหมด เช่น สถานพยาบาล ศูนย์การค้า สถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ หากจะสูบก็ให้สูบเฉพาะในเขตสูบบุหรี่ 

          - เขตปลอดบุหรี่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพื้นที่นั้นๆ เช่น ตู้รถไฟโดยสารทั่วไปที่ไม่ใช่แบบปรับอากาศ และร้านขายอาหารทั่วๆ ไป เฉพาะบริเวณที่มีระบบปรับอากาศ แต่ต้องจัดเขตสูบบุหรี่ไม่ให้เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด 

          2. พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่มีสาระสำคัญในการห้ามขายบุหรี่ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท รวมถึงห้ามขายสินค้าอื่นและแถมบุหรี่ให้ หรือขายบุหรี่แล้วแถมสินค้าอื่น และห้ามการโฆษณาทั้งทางตรงและทางอ้อม


วันงดสูบบุหรี่โลก
วันงดสูบบุหรี่โลก 2556

โทษของบุหรี่

          การสูบบุหรี่นั้นถือเป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งต่อผู้สูบเองและผู้อยู่ใกล้ชิดที่สูดเอาอากาศที่มีควันบุหรี่เข้าไป เพราะควันบุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และมีสารก่อมะเร็ง ไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารอันตรายที่สำคัญ เช่น

 คาร์บอนมอนอกไซด์ 

          ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถจับออกซิเจนได้เท่ากับเวลาปกติ หากได้รับจะเกิดการขาดออกซิเจน ทำให้มึนงง ตัดสินใจช้า เหนื่อยง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ 

 นิโคติน 

          เป็นสารระเหยในควันบุหรี่ มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง มีผลต่อต่อมหมวกไต ทำให้เกิดการหลั่งอิพิเนฟริน ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจ เต้นเร็วกว่าปกติ และไม่เป็นจังหวะ หลอดเลือดที่แขนและขาหดตัว เพิ่มไขมันในเส้นเลือด (ก้นกรองไม่ได้ทำให้ปริมาณนิโคตินลดลงได้) 

 ทาร์ หรือน้ำมันดิน

          เป็นคราบมันข้นเหนียว สีน้ำตาลแก่ เกิดจากการเผาไหม้ของกระดาษและใบยาสูบ และเป็นสารก่อมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด, กล่องเสียง, หลอดลม. หลอดอาหาร, ไต, กระเพาะปัสสาวะ และอื่นๆ ร้อยละ 50 ของน้ำมันดินจะไปจับที่ปอด เกิดระคายเคือง ทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะ 

          จากการสำรวจพบว่าผู้ที่เป็นมะเร็งปอดนั้น ร้อยละ 90 เป็นผลเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ โดยมีผลวิจัยระบุว่า ผู้ที่สูบบุหรี่เกินวันละ 1 ซอง จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 5-20 เท่า 

          ผู้ที่สูบบุหรี่ยังเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ อาจมีอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอถี่จนไม่สามารถนอนได้ นอกจากนี้ทาร์ในควันบุหรี่จะสะสมอยู่ในปอด จะทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพอง ทำให้หายใจขัด หอบ และหากเป็นเรื้อรังอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ง่ายเช่นเดียวกัน 

          นอกจากนั้นยังพบว่าการสูบบุหรี่ ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล โรคความดันเลือดสูง โรคตับแข็ง โรคปริทนต์ โรคโพรงกระดูกอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคหัวใจ เป็นต้น และยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของผู้สูบบุหรี่อีกด้วย


ผลข้างเคียงต่อบุคคลอื่น

          การสูบบุหรี่นอกจากจะเป็นอันตรายต่อผู้สูบเองแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อผู้ใกล้ชิดอีกด้วย คือ หากเด็กได้รับควันบุหรี่ จะป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หอบหืด หูชั้นนอกอักเสบเพิ่มมากขึ้น หากหญิงมีครรภ์ได้รับควันบุหรี่ จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มน้อยกว่าปกติ รวมทั้งมีโอกาสแท้ง และคลอดก่อนกำหนด อีกทั้งยังส่งผลต่อทารกในครรภ์ที่อาจทำให้สมองช้ากว่าปกติ มีความผิดปกติทางระบบประสาท และระบบความจำ 

          ขณะที่คู่สมรสของผู้สูบบุหรี่ มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอดมากกว่าคู่สมรสที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2 เท่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ 3 เท่า และเสียชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 4 ปีคนทั่วไป

          อย่างไรก็ตาม แม้บุหรี่จะมีโทษมากมาย แต่ก็ยังมีคนสูบ ทำให้รัฐต้องออกมาตรการ หรือกฎหมายควบคุมการสูบบุหรี่ด้วย ทั้ง สวนสาธารณะ, สนามบิน, สถานีรถไฟ, สถานศีกษา, ร้านค้า, ผับ, เธค และสวนอาหาร   เป็นต้น หากฝ่าฝืนก็จะต้องเสียค่าปรับ 

          อืม… นอกจากบุหรี่จะมีโทษมหันต์ต่อผู้สูบและคนใกล้ชิดแล้ว การสูบผิดสถานที่อาจทำให้ติดคุก หรือเสียเงินได้เช่นกัน… ฉะนั้นเราลองหันมาเลิกสูบบุหรี่กันดีกว่าไหม เพื่อสุขภาพของคุณเอง รวมทั้งคนที่คุณรักด้วย 


วันดื่มนมโลก





          รู้กันไหมเอ่ย 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันดื่มนมโลก" (World Milk Day) ดังนั้น วันนี้เราจึงนำสาระความรู้เรื่อง วันดื่มนมโลก และสารพัดประโยชน์ของ นม มาฝากกันค่ะ

          องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ หรือ The Food and Agriculture Organization หรือ FAO ได้กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันดื่มนมโลก" (World Milk Day) เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ และองค์กรให้ความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนม รวมถึงจัดกิจกรรมรณรงค์และกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการบริโภคนม โดยปัจจุบันมีมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก ที่จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องใน วันดื่มนมโลก

          ทั้งนี้ มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (International Osteoporosis Foundation หรือ IOF) ระบุว่า นมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่น ๆ เป็นอาหารที่มีแร่แคลเซียมสูงที่สุด มีความสำคัญมากในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีที่สุดและยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามินบี 12 ฯลฯ

           วิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง 

           คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานกับร่างกาย 

           แมกนีเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

           ฟอสฟอรัส สร้างพลังงานให้กับเซลล์ในร่างกาย และทำให้กระดูกแข็งแรง

           โปรแตสเซียม ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ 

           โปรตีน สร้างเสริมการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ 

           วิตามินบี 2 ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี ช่วยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

          สำหรับ ธาตุอาหารใน "นม" ล้วนมีส่วนช่วยไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ และช่วยเสริมสร้างสุขภาพฟันที่ดี เพราะนมอุดมด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อฟัน มีโปรตีนที่ช่วยให้ฟันเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยเคลือบผิวฟัน นอกจากนี้ "นม" ยังเป็นเครื่องดื่มที่มอบความสดชื่นไม่แตกต่างจากน้ำดื่ม การดื่มนมเพียงหนึ่งหรือสองแก้วจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น และยังทำให้ได้รับคุณค่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการอีกด้วย

          ส่วนใครที่หลีกเลี่ยงไม่ดื่มนม เพราะเชื่อว่านมทำให้อ้วนนั้น ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นนมสด นมพร่องไขมัน หรือนมไม่มีไขมัน มีปริมาณไขมันแค่เพียง 3.9%, 1.7%, และ 0.3% เท่านั้น รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มนม เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกันดีกว่า


วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

10 เรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับฝรั่งเศสนะคะ

1. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคนใช้พูดเป็นภาษาแม่และภาษาที่สองถึง 128 ล้านคน โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส แคนาดา(รัฐควิเบก) สวิซเซอแลนด์ เบลเยี่ยม นอกจากนี้ทางฝั่งแอฟริกาก็มีประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน


2. ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก นอกจากนี้ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นแม่แบบในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งถ้าน้องๆสนใจที่จะเรียนต่อในด้านนิติศาสตร์แล้วละก็การมีความรู้ในด้านภาษาฝรั่งเศสไว้นั้น นับว่าได้เปรียบคนอื่นอยู่มากๆเลยทีเดียว
3. ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทษที่มีชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรม ทั้งด้านอาหาร แฟชั่น ศิลปกรรม ภาพยนตร์และวรรณกรรมต่างๆมากมาย เพราะฉะนั้นแล้ว น้องๆที่มีความสนใจทางด้านศิลปะวัฒนธรรม ก็ไม่ควรพลาดที่จะมีความรู้ด้านภาษาฝรั่งเศสไว้ประดับสมองเลยจ้า
4. ครั้งหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ถ้ามีโอกาสได้ท่องเที่ยวในต่างประเทศ รับรองว่าหนึ่งในประเทศที่น้องใฝ่ฝันต้องมีประเทศฝรั่งเศสอยู่แน่นอน เพราะประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ที่น่าท่องเที่ยวมากมาย เช่น กรุงปารีส พระราชวังแวร์ซาย พิพิธภัณฑ์ลูฟ และสถานที่น่าสนใจในแคว้นต่างๆอีกมากมาย
5. รัฐบาลฝรั่งเศสมีนโยบายมอบทุนการศึกษาในระดับปริญญาโท หรือที่เรียกกันว่า ทุนไอเฟล ให้นักเรียนต่างชาติรวมถึงนักเรียนไทย ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในมหาลัยของประเทศฝรั่งเศส ในสาขาวิชาต่างๆมากมาย เช่น วิทยาศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีทุน Haif scholarships ซึ่งเป็นทุนศึกษาในระดับปริญญาเอกอีกด้วย
6. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการขององค์กรณ์ระหว่างประเทศที่สำคัญหลายองค์กรณ์ เช่น สหประชาชาติ สหภาพยุโรป องค์การยูเนสโก้ และยังเป็นภาษาที่ใช้ใน 3 เมืองสำคัญของทวีปยุโรป นั่นคือ Strasbourg , Bruxells , Luxemburg
7. ภาษาฝรั่งเศสมีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ในโลกอินเตอร์เน็ต ดังนั้นการที่เรารู้ภาษาฝรั่งเศสก็จะทำให้เราสามารถรับรู้และเข้าใจข่าวสารของหลายๆประเทศในโลก
8. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ชาวยุโรปส่วนใหญ่จึงนิยมเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ 2 รองจากภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นไม่ว่าน้องจะหลงอยู่ในประเทศใดในนยุโรป ถ้าน้องสามารถสื่อสารภาษาฝรั่งเศสได้ โอกาสที่น้องจะเอาตัวรอดได้มีสูงมาก
9. การเข้าใจภาษาฝรั่งเศสสามารถช่วยต่อยอดในการเรียนภาษาอื่นๆ เพราะภาษาฝรั่งเศสทีรากศัพท์มาจากภาษาละติน และกว่า 50% ของภาษาอังกฤษในปัจจุบัน มีส่วนคล้ายกับภาษาฝรั่งเศส นับว่าเป็นโอกาสดีของเด็กไทยที่จะเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสได้ง่ายขึ้น
10. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ไพเราะมาก จนถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นภาษาฝรั่งเศสจึงถูกเรียกว่าเป็นภาษาแห่งความรักกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้เมื่อน้องได้เรียนภาษาฝรั่งเศสแล้ว น้องจะสามารถอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ความงาม ไวน์ ขนมปัง เมนูอาหาร และอีกมากมายได้ คิดดูสิจ๊ะว่าการมีภาษาฝรั่งเศสประดับหัวสมองนั้น ไม่มีคำว่า เสียเปรียบใครแน่นอนจ้า =D


วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สิ่งเล็กๆที่น่ารู้

       1.   องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยจัดอันดับให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีระบบดูแลสุขภาพประชาชนที่เยี่ยมที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยวัดได้จากการที่ฝรั่งเศสมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายที่ต่ำมาก สาเหตุก็มาจากว่า ทุกคนมีประกันสุขภาพ และประกันสุขภาพนี้จะจ่ายทดแทนให้ได้หมดแทบไม่มีข้อยกเว้น ป่วยเมื่อไหร่ประกันจ่ายให้หมด 100% หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้าไปในอาศัยในประเทศฝรั่งเศสก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยราคาของประกันสุขภาพอยู่ที่ประมาณ 200-500 ยูโรหรือประมาณ 8,000-20,000 บาทต่อปีค่ะ
        2.  ประเทศฝรั่งเศสมีประชากรจำนวน 64 ล้านคนซึ่งไม่แตกต่างจากประเทศไทยบ้านเรานัก แต่!!!!!! ประเทศฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละ 70 กว่าล้านคน ถือว่ามากกว่าจำนวนพลเมืองในประเทศด้วยซ้ำ สุดยอดเลยเนาะ นอกจากนี้ ยังถือเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดของปี 2011 (ใน 10 อันดับมีเอเชีย 3 ประเทศคือ จีน ตุรกี และมาเลเซีย)
      3.น่าแปลกดีเหมือนกันที่ใครมีโทรทัศน์ ต้องเสียภาษีโทรทัศน์ด้วย!! โดยตกประมาณ 200 ยูโรหรือ 8,000 บาทต่อปี ภาษีเหล่านี้ทางรัฐบาลจะนำไปปรับปรุงรายการโทรทัศน์ให้มีคุณภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือมีโฆษณาคั่นรายการน้อยมากกกกค่ะ เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ต้องการให้ประชาชนถูกโฆษณาเหล่านั้นมอมเมา (พูดง่ายๆ คือปกติรายการทีวีต้องมีโฆษณาเข้า ถึงจะมีรายได้ แต่รายการทีวีของฝรั่งเศสไม่มีรายได้จากโฆษณา เลยต้องเก็บเป็นภาษีแทน) แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศสนะคะที่มีการเก็บภาษีโทรทัศน์ เพราะประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น เยอรมัน เดนมาร์ค ออสเตรีย เค้าก็มีเก็บเหมือนกันแถมแพงกว่าที่ฝรั่งเศสด้วย

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

การพอใจหรือการให้ ทิป


ความหมายของทิป คือ เงินจำนวนหนึ่งที่ผู้รับบริการมอบให้แก่ผู้ที่ทำหน้าที่ให้บริการแก่ตนเอง โดยจ่ายเพิ่มให้เป็นพิเศษนอกเหนือการจ่ายค่าสินค้า หรือบริการที่ได้รับไปแล้ว
การทิปของแต่ละประเทศนั้นจะไม่เหมือนกันโดยแล้วแต่ประเทศนั้นจะรวมค่าทิปไปในบิลเรียกเก็บเงินหลังเช็คบิล หรือใช้บริการเสร็จ โดยในบิลจะระบุว่า “Service Charge” หรือ “ค่าบริการ” ไว้แล้ว ซึ่งจะกำหนดเป็นค่าร้อยละของยอดจำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องจ่ายให้แก่บริการนั้นๆ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 5-15เปอร์เซ็นต์
ซึ่งแต่ละประเทศมีการคิดค่าธรรมเนียมในการทิปที่แตกต่างกัน เช่นประเทศฝรั่งเศส มีกฎหมายให้ภัตตาคารสามารถบวกค่าบริการได้ ทำให้พนักงานเสิร์ฟที่ประเทศฝรั่งเศสมีเงินเดือนและสวัสดิการที่ดี แต่สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกาไม่บังคับ ทำให้รายได้ของพนักงานส่วนใหญ่ได้มาจากการทิป สำหรับเงินเดือนได้น้อยมาก ดังนั้นเมื่อไปกินอาหารที่ภัตตาคารที่ฝรั่งเศสที่ได้บอกค่าบริการไปแล้วในบิลจึงไม่ต้องให้ทิปเพิ่มอีก แต่ถ้าหากได้รับบริการที่ดีอาจจะให้เพิ่มตามความสมัครใจก็ได้ โดยปกติจะอยู่ประมาน 1-5 ยูโรต่อจำนวนสมาชิกในโต๊ะ
แต่สำหรับที่ประเทศไทยแล้วเฉพาะร้านอาหารใหญ่ๆ หรือสั่งอาหารตามโรงแรมมักจะเขียนบอกไว้ในเมนูอาหารอยู่แล้วว่ามีค่าบริการเพิ่มกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นกติกาสากล แต่ถ้าหากจะให้เพื่ออีกก็แล้วแต่เราเลยล่ะครับ
สำหรับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป จะมีธรรมเนียมในการทิปดังนี้
1. พนักงานยกกระเป๋าไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดควรได้ประมาณ 0.50 – 1 ยูโรต่อกระเป๋า 1 ใบ
2. แม่บ้านทำความสะอาดตามโรงแรมควรได้ประมาณ 1 – 1.50 ยูโรต่อวัน
3. ช่างทำผมควรได้ 10% ของค่าทำผม
4. พนักงานประจำห้องน้ำควรได้ประมาณ 0.30 – 0.50 ยูโร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะมีป้ายติดประกาศอย่างชัดเจนว่าต้องให้
5. ไกด์ท้องถิ่นที่พาเราเที่ยวในแต่ละสถานที่ควรได้ประมาณ 1 – 2 ยูโรต่อครั้ง และสำหรับไกด์ที่นำเที่ยวแบบหมู่คณะควรได้ประมาณ 2 – 5 ยูโรต่อทัวร์จากลูกทัวร์แต่ละคน
6. คนขับแท็กซี่ควรได้ประมาณ 10% ของค่าโดยสาร และคนขับรถบัสควรได้ประมาณ 1 - 2 ยูโรต่อวัน

อัตราเหล่านี้เป็นเหมือนราคากลางในการให้เท่านั้น ซึ่งจะให้มาก หรือให้น้อยก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเราทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทุนทรัพย์ และความพึงพอใจของผู้รับบริการที่มีต่อพนักงาน

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การปฏิวัติ

Les états généraux
           ในปี พ.ศ. 2331 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เรียกประชุมสภา les états généraux(สภาฐานันดร)ซึ่งมีการประชุมครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2157 ก่อนหน้าการประชุม ได้มีการถวายฎีกาทั่วประเทศ มีการควบคุมและห้ามการเผยแพร่ใบปลิวที่มีเนื้อหาเสรีจนน่าจะเป็นอันตราย เนคเกร์ที่ถูกเรียกกลับมาดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2331 ได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มจำนวนตัวแทนจากชนชั้นที่ 3 ให้มากขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะจำนวนตัวแทนในขณะนั้นมีน้อยเกินไป และเขายังเรียกร้องให้ปลดตัวแทนบางส่วนจากชนชั้นที่ 1 และ 2 อีกด้วย
           สภาฐานันดร (les états généraux) ได้มีการประชุมที่พระราชวังแวร์ซายส์ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2332 การประชุมครั้งนี้ใช้ระบบลงคะแนนคือ 1 ฐานันดรต่อ 1 เสียง ซึ่งไม่ยุติธรรม เพราะฐานันดรที่สามซึ่งมีจำนวนถึง 90% ของประชากรกลับได้คะแนนเสียงเพียง 1 ใน 3 ของสภา และวิธีการลงคะแนนนี้จะทำให้ฐานันดรที่สามไม่มีทางมีเสียงเหนือกว่า 2 ฐานันดรแรก โดยเสนอให้ลงคะแนนแบบ 1 คน 1 เสียงแทน เมื่อข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ ทำให้ตัวแทนฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงไม่เข้าร่วมการประชุม และไปตั้งสภาของตนเองเรียกว่าสมัชชาแห่งชาติ ซึ่งเปิดประชุมเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปีเดียวกัน. สภานี้ยังมีตัวแทนจากฐานันดรที่ 1, 2 บางส่วนเข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ตัวแทนส่วนใหญ่ของชนชั้นนักบวช และตัวแทนที่เป็นขุนนางหัวสมัยใหม่นำโดยมิราโบ
           สมัชชาแห่งชาตินี้ประกาศว่า สภาของตนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขึ้นภาษี เนื่องจากไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ ที่สนับสนุนแต่ขุนนางและพระสงฆ์ พระเจ้าหลุยส์พยายามหาทางประนีประนอมโดยเสนอว่าจะจัดประชุมสภาฐานันดร (les états généraux) ขึ้นอีกครั้งพวกขุนนางและพระสงฆ์ตอบตกลง แต่สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุม โดยไปจัดการประชุมของตัวเองขึ้นที่สนามเทนนิส (สมัยนั้นเรียกว่า Jeu de paume) ในวันที่ 20 มิถุนายน โดยมีมติว่าจะไม่ยุบสภานี้จนกว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้รัฐธรรมนูญ

ประวัติศาสตร์


ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี
          ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจศิลปะ และ วัฒนธรรม ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก
          ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16ในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ
          ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน ฝรั่งเศสยังเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง

ที่มาและประวัติของชื่อ

คำว่า ฝรั่งเศส (France) มาจากภาษาละติน Francia ซึ่งแปลตามตรงว่า ดินแดนแห่งแฟรงค์ (Frankland) และมีหลายทฤษฎีที่สันนิษฐานถึงที่มาของคำว่า แฟรงค์ (Franks) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคำในภาษาโปรโต-เยอรมัน Frankon ซึ่งแปลว่า หลาว หอก หรือทวนซึ่งเป็นอาวุธของพวกแฟรงค์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟรานซิสกา (Francisca)
           อีกทฤษฎีหนึ่งตามหลักนิรุกติศาสตร์คือในภาษาเยอรมันโบราณ คำว่า แฟรงค์ แปลว่า อิสระ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นทาส โดยคำดังกล่าวยังคงปรากฏในภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันในรูป ฟรังก์ (Franc) ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศฝรั่งเศสจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสกุลเงินยูโรในปี พ.ศ. 2545

           ในปัจจุบันประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frankreich ซึ่งแปลว่า อาณาจักรแห่งแฟรงค์ อีกด้วย